- บริษัทจะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ในวันพุธที่ 2 กันยายนก่อนตลาดสหรัฐฯ เปิด
- คาดการณ์ตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น: -$1.8
- คาดการณ์ตัวเลขผลกำไร:$3,460 ล้านเหรียญสหรัฐ
หวังว่าการรายงานผลประกอบการของบริษัทเจ้าของห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กเมซีย์ (NYSE:M) ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เราจะได้เห็นว่าเมซีย์มีแผนหลีกเลี่ยงการล้มละลายอย่างไรในสภาพแวดล้อมที่ผู้บริโภคหันไปพึ่งพาการซื้อของออนไลน์มากขึ้นแทนที่จะออกมาเดินห้างฯ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 อันที่จริงแล้วโควิดไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เมซีย์เกิดปัญหา บริษัทเจ้าของธุรกิจค้าปลีกที่ผันตัวมาทำห้างฯ ที่มีอายุยาวนานกว่า 162 ปีประสบปัญหาทางการเงินมาตั้งแต่ก่อนโควิดจะเข้ามาเสียด้วยซ้ำ
ในไตรมาสที่ 1 ยอดขายของเมซีย์ร่วงลงมากถึง 45% จนบริษัทต้องปลดพนักงานประมาณ 3,900 คนคิดเป็น 3% ออกจากบริษัทเพื่อลดต้นทุน แม้ว่ายอดขายบางส่วนจะสามารถฟื้นตัวได้บ้างในไตรมาสที่ 2 หลังมาตรการล็อกดาวน์ผ่านไปแต่นักวิเคราะห์บางคนก็ยังตั้งคำถามว่าการฟื้นตัวครั้งนี้และการเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะกลับมาได้มากสักเพียงใดเพราะผู้คนไม่ได้นิยมออกมาเดินห้างสรรพสินค้าหรือยินดีที่จะเสียเวลาเดินดูของไปเรื่อยๆ เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
สภาพคล่องที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวค้ำประกัน
จากภาพรวมที่ไม่มีความมั่นคงของบริษัทนี้เองทำให้เมซีย์มีทางเลือกไม่มากนอกจากต้องเสริมสภาพคล่องให้ตัวเองสามารถเอาตัวรอดภัยคุกคามจากโรคระบาดนี้ไปให้ได้ ปัจจุบันเมซีย์หาทางออกด้วยการใช้ร้านค้าปลีกของตัวเองที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ เป็นตัวค้ำประกันจนกระทั่งบริษัทได้เงินสดมาเสริมสภาพคล่องมูลค่าทั้งสิ้น $4,500 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมิถุนายน
อ้างอิงข้อมูลจาก Wall Street Journal เปิดเผยว่าเมซีย์ยังมีอสังหาริมทรัพย์ให้สามารถทำการค้ำประกันแบบเดิมได้อีกหากจำเป็น นี่คือคำพูดจากหัวหน้าฝ่ายการเงินของบริษัทโดยตรง ถึงแม้เมซีย์จะยังไม่ได้หงายไพ่ในมือออกมาทั้งหมดแต่หุ้นของบริษัทก็ร่วงลงไปแล้วประมาณ 60% ตลอดทั้งปี 2020 มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $6.97 ปรับตัวขึ้นเมื่อวานเพียง 0.29% เท่านั้น
ตอนนี้วิธีการเดียวที่จะช่วยให้เมซีย์หลุดขึ้นมาจากบ่อโคลนและก้าวเดินต่อไปได้คือต้องทำช่องทางการซื้อสินค้าออนไลน์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง ลดจำนวนร้านค้าปลีกของตัวเองลง ปัจจุบันเมซีย์ได้เริ่มดำเนินการเกี่ยวกับการลดจำนวนร้านค้าปลีกลงแล้วโดยกำจะปิดสาขาประมาณ 125 สาขา ตอนนี้เมซีย์ขอเวลาอีก 3 ปีเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทและอัปเกรดตัวเองให้เข้าสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้น
แม้ว่ากลยุทธ์นี้จะสามารถช่วยเพิ่มยอดขายทางออนไลน์แต่ก็ยังไม่มากพอจนถึงขั้นว่าเรียกเป็นการเติบโตของบริษัทได้ ดังนั้นในระยะยาวเมซีย์จำเป็นต้องแสดงให้ผู้ถือหุ้นเห็นว่าการลดต้นทุนของร้านค้าปลีกลงและการหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีออนไลน์มากยิ่งขึ้นจะช่วยให้เมซีย์มียอดขายที่มาจากการบริโภครูปแบบใหม่เข้ามา หากว่าภายใน 3 ปีหลังจากที่โควิดจบลงแล้วและเมซีย์สามารถรอดไปจนถึงจุดที่สามารถพัฒนาระบบการค้าออนไลน์ได้สำเร็จตามที่หวัง ถึงตอนนั้นเมซีย์อาจจะสามารถคืนชีพขึ้นมาได้จริงๆ ก็เป็นได้
โดยสรุปแล้ว
เราไม่เชื่อว่าเมซีย์จะสามารถกลับมาได้ทันภายในปี 2020 ในยุคที่วิกฤตโรคระบาดเข้ามาเป็นตัวเร่งให้โลกเข้าสู่ยุคออนไลน์เร็วขึ้น เมซีย์ถือว่ารู้ตัวช้าไปจนทำให้บริษัทต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างที่เห็นในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามหากว่าเมซีย์สามารถเสริมสภาพคล่องจนสามารถเอาตัวรอดปีนี้ไปได้ การเดินไปแผนการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรก็อาจจะทำให้เมซีย์สามารถคืนชีพขึ้นมาได้จริงๆ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นนักลงทุนควรถอยห่างออกมาเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน