หนึ่งในหุ้นขวัญใจนักลงทุนที่ทั้งคอยเอาใจช่วย เพราะชื่นชอบในตัวคุณต๊อบที่เริ่มต้นจากเล็กจนเติบใหญ่
แต่ก็เป็นหุ้นที่แอบเสียวอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนสาหร่าย การออกไปลุยเมืองจีน ข่าวควบรวมกิจการ ผู้บริหารขายหุ้นเป็นครั้งคราว และล่าสุดมีข่าวว่าคีย์ออเดอร์ผิด
ล่าสุดงบ Q4 ประกาศออกมา ขาดทุน 20.9 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทขาดทุน
แต่จริงๆ แล้วมีรายการพิเศษ 3 เรื่อง คือ
1. รับรู้ค่าเผื่อบรรจุภัณฑ์เสื่อมสภาพ ขายสินค้าราคาพิเศษก่อนปิดเถ้าแก่น้อยแลนด์ และการรวมโรงงานผลิต ทั้งหมดคิดเป็นเงิน 30 ล้านบาท
2. ค่าทนายดำเนินคดีความที่จีน 18 ล้านบาท
3. ค่าใช้จ่ายปิดสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ 18 สาขา 12 ล้านบาท
รวมเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษ 60 ล้านบาท ก่อนภาษี
กำไรสุทธิก่อนภาษีเท่ากับ -26.4 ถ้าบวกกลับเข้าไป ก็แปลว่าจะมีกำไร 33.6 ล้านบาท
สมมติหักภาษี 20% กำไรสุทธิก็ตกประมาณ 27 ล้านบาท
แต่ถ้าถามว่า ดีมั้ย ก็ต้องตอบว่า ไม่ดี เพราะว่า กำไรสุทธิ Q4’19 = 117.8 ล้านบาท
หรือถ้าเทียบ Q1-Q3 ปีนี้ กำไรแต่ละไตรมาสก็อยู่ระหว่าง 85-90 ล้านบาท
=====================
ปัญหาที่ เถ้าแก่น้อย พบเจอ มีเรื่องอะไรบ้าง
ยอดขายยังไม่ฟื้น
Q1’20 ยอดขาย 1110 ล้านบาท
Q2’20 ยอดขาย 1012 ล้านบาท
Q3’20 ยอดขาย 979 ล้านบาท
Q4’20 ยอดขาย 883 ล้านบาท
โดยเป็นการลดงของตลาดในไทย -39% และตลาดต่างประเทศ -37% โดยเฉพาะตลาดจีน -48% เรียกว่าหนักเอาเรื่อง
ตลาดในประเทศที่แย่ก็เป็นผลมาจาก COVID กำลังซื้อในการบริโภค และนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดหาย ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ปัญหาหลัก นอกจา COVID แล้ว คือ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ส่งของได้น้อยลง รวมถึงค่าระวางสูงขึ้นทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นไปอีก
กำไรขั้นต้นลดลง
ด้วย Business Model เป็นโรงงาน พอขายของได้น้อย ผลิตสินค้าได้น้อย การเดินเครื่องจักรจะไม่คุ้ม ค่าแรงงานต่อหน่วนก็ไม่คุ้ม รวมทั้งมีค่าทำลายบรรจุภัณฑ์เสื่อมสภาพอีก ทำให้ GPM เหลือแค่ 20.4% จากปีที่แล้วคือ 30.6% ถึงแม้ว่าจะใช้ต้นทุนสาหร่ายล็อตถูกก็ตาม ก็ยังช่วยไม่พอ
SG&A บีบสุดฤทธิ์แล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้มาก มี SG&A/Sale ที่ 22.2% เทียบกับปีที่แล้ว 23.5%
สุดท้าย กำไรก็เลยลดลงมากอย่างที่เห็น
==================
วิธีแก้ปัญหาของ TKN
ด้วยความที่ Business Model เป็นโรงงานผลิต ขายผ่านร้านค้า ผ่านตัวแทนจำหน่าย TKN ทำการตลาดให้ดัง แล้วให้คนมาซื้อไปกิน พอของขายไม่ได้ เลยกระทบเป็นลูกโซ่แบบนี้
Orion ที่เป็น Partner หลัก น่าจะพอช่วยได้บ้าง คือ รับออเดอร์เพิ่มไป แล้วไปกระจายให้ได้มากที่สุด แต่ก็คงได้ชั่วคราวเท่านั้น และก็อย่าลืมว่ามีปัญหาเรื่องตู้ขาดแคลนอยู่
วิธีแก้ต่อมา ทีทำอยู่ก็คือ การรวมโรงงาน 2 แห่ง เข้าด้วยกัน ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มได้ และประหยัดต้นทุนต่อขนาด แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายตอนรวมกันบ้าง รวมๆ แล้วก็คงช่วยได้บ้าง
อีกวิธี คือ ออกสินค้าใหม่เลย โดยนำชานม Just Drink จากไต้หวันมาขายเมื่อปลายเดือนธันวาคม ช่วงแรกต้องบอกว่า ได้รับความนิยมมาก เพราะว่า สินค้าดังและมีของน้อย เรียกได้ว่า ไปหาที่ไหนก็หมดตลอด ทำให้อยากลองชิมกัน ตามหากันให้ทั่ว แต่ตอนนี้พอเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ชานมเริ่มไม่ล่องหนแล้ว ต้องดูว่าจะขายดีแค่ไหน และคุ้มค่าแค่ไหนกับราคาขวดละ 35 บาท
หรือรอลุ้นว่า COVID คลี่คลาย การเดินทางกลับมา การท่องเที่ยวเริ่มดี การบริโภคจะมากขึ้น ทั้งคนไทยและคนจีนก็จะมาซื้อของกันมากขึ้น เดาว่าก็คงปลายปีนู่นเลย
วิธีสุดท้าย ที่ทาง TKN ก็เปิดกว้าง คือ หา Global Partner ที่จะมาช่วยให้ธุรกิจเติบโต ล่าสุดที่มีการปฎิเสธข่าวกับบริษัทตัว M ไป ก็ต้องรอดูว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ก็ดูเป็นทางออกที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย
เอาใจช่วยผู้ถือหุ้น TKN ทุกคนครับ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น