What we know about Fed Reverse Repo SET: เรายังคงมองเช่นเดิมว่าหากจะเก็งกําไรกับ SET Index ในเดือนมิ.ย. นี้ ดูเหมือนว่าช่วงสัปดาห์แรกของเดือนจะเป็นช่วงเวลาที่ปลอดความเสี่ยง มากที่สุด โดยเฉพาะฉย่างยิ่งในมิติของปัจจัยต่างประเทศ ที่เรายังคงกังวล กับความเสี่ยงที่อาจออกมาจากรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯใน คืนวันศุกร์นี้ ซึ่งหากออกมาดีเกินคาดอย่างมาก อาจเป็นปัจจัยที่ Troger ให้ Fed มีการส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินได้ในช่วงถัดไป แต่นักลงทุนในตลาดอาจกังวล ไปก่อนจนส่งผลต่อแรงเทขายในสินทรัพย์ เสี่ยงได้ ในเชิงกลยุทธ์ แนะนํานักลงทุนที่มีค่าไรหาจังหวะ Lock profit ภายในช่วงวันศุกร์นี้บางส่วน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ อาจเกิดขึ้นจากรายงานตัวเลขการจ้างงานนี้ Factors: ในส่วนปัจจัยที่น่าติดตามประจําสัปดาห์นี้มีหลายปัจจัย ได้แก่
1) พัฒนาการของตัวเลขธุรกรรม Reverse repo ของสหรัฐฯ
2) รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯประจําเดือนพ.ค.ที่ล่าสุดตลาดคาดการณ์เพิ่มขึ้นราว 6.5 แสนค่าแหน่ง เรามีนมมองว่า หากตัวเลขจริงออกมาเกินกว่าระดับ 9 แสนต่าแหน่งขึ้นไป อาจทําให้นักลงทุนกังวลกับการส่งสัญญาณถอนคันเร่งของ Fed ในช่วงถัดไปได้
3) การประชุมของกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 1 มิ.ย. ซึ่งคาดว่าในกรณีฐานจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยที่แผนเต็มทางกลุ่มจะมีการคืนกําลังการผลิตเข้า มาในระบบอีกราว 7 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือนมิ.ย.นี้ แต่หากที่ประชุม มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการคืนก่าสังการผลิตที่เคยประกาศออกมา ก่อนหน้านี้ จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ํามันที่บในระยะสั้นได้ ทั้งนี้ จะต้องติดตามความเห็นของกลุ่มต่อประเด็นสหรัฐฯและอิหร่านเกี่ยวกับ ข้อตกลงด้านนิวเคลียร์อีกด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลต่อแผนการคืนกำลังการผลิตของกลุ่มอีก 8.4 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือนก.ค.ปี
4) ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมิ.ย.ของประเทศสําคัญทั้งจีนในวันนี้รวมถึงยุโรปและสหรัฐฯในวันพรุ่งนี้ หากต้ชนี Global PMI มีการปรับขึ้นต่อ มองเป็นปัจจัยบวกต่อภาคการส่งออกของไทยต่อไป
5) การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยประจําเดือนเม.ย.จากธปท.ในวันนี้แนะน่าจับตาตัวเลขการบริโภคภาคเอกชน (HH) และตัวเลขตุลบัญชี เดินสะพัด ซึ่งอาจออกมาขาตตุลใต้ ซึ่งผลกดดันต่อเงินบาทให้ทรงตัวอ่อนค่าต่อไป
6) รายงานตัวเลขภาคการผลิตของไทย (MPI) ประจําเดือนเม.ย. ในวันนี้ซึ่งจากรายงานตัวเลขส่งออกที่ออกมาดีมากก่อนหน้านี้ ทําให้เรา ประเมินว่าตัวเลขจริงจะออกมาในเกณฑ์ดีด้วย ล่าสุดตลาดคาดเต็มโค เพิ่งถึง 15% ถือเป็นระดับการเติบโตสูงสุดในรอบ 8 ปี
Reverse repo: ประเด็นที่น่าสนใจและมุมมองของเราต่อตัวเลข Revere repo ของสหรัฐฯ มีดังนี้ 1) ความกังวลของตลาดเกิดขึ้นเมื่อมีรายงานว่า ระดับของ Reverse repurchase agreements (Reverse Repo) ที่อยู่บน Balance sheet ของ Fed ท่าจุดสูงสุด ใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (สิ้นสุด 26 พ.ค.) ที่ระดับ 6.7 แสนล้านเหรียญฯ ถือเป็นระดับสูงสุดที่เคยเกิดขึ้น
2) ที่สําคัญ สิ่งที่น่าตกใจไม่เพียงแต่ระดับที่อยู่สูงสุดนี้ แต่เป็นทางด้านการเปลี่ยนแปลงรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมามีเงิน กลับเข้าสู่ Fed จากตัวธุรกรรม Reverse repo ปีสูงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญฯ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงรายสัปดาห์ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2015
3) สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของ Reverse Repo นี้มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสภาพคล่องส่วนเหลือที่เกิดขึ้นจากความต้องการที่ลดลงของสถาบันการเงินรวมถึง ภาคเอกชนต่างๆ จึงต้องการนําสภาพคล่องส่วนเกินดังกล่าวมาฝากไว้ที่ ธนาคารกลาง ถึงแม้จะไม่ได้รับตอกเบี้ยเองก็ตาม นอกจากนั้น อีกสาเหตุหนึ่งที่ อาจมีน้ําหนักก็คือการหมดอายุลงของโครงการ SLR Relief ที่หมดอายุลงไป ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเคยเป็นโครงการที่ Fed ผ่อนผันให้สถาบัน การเงินที่ถือครอง U.S. Treasury ไม่ต้องนับตราสารดังกล่าวเข้าค่านวณเป็นสินทรัพย์ที่ต้องตํารงเงินสดสํารองไว้ตามหลักเกณฑ์
4) สัญญาณสภาพคล่องส่วนเหลือที่เกิดขึ้นนี้ ย่อมเป็นการบ่งชี้ว่า Fed ไม่มีความจําเป็นใด ๆ มากแล้วที่จะต้องมีการตนี้ตสภาพคล่องต่อไป และถือตัดปัญหา เรื่องสภาพคล่องออกจากสมการ โดยล่าสุดเหลือแต่ความกังวลในส่วนของ เศรษฐกิจจริงเท่านั้น ซึ่งเรายังคงมองว่าตัวเลขการจ้างงานจะเป็นตัวแปรสําคัญต่อการตัดสินใจของ Fed ในช่วงถัดไป
5) ในกรณีฐาน เรายังคงมุมมองว่าการส่งสัญญาณ QE Tapering ของ Fed จะเกิดขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 ที่จะมีการประชุมของผู้น่าธนาคารกลางเมือง Jackson Hole ในช่วงปลายเดือนส.ค. และการประชุม FOMC รอบใหญ่ในช่วง ปลายเดือนก.ย. ก่อนที่จะมีการ Take action จริงในช่วงต้นปี 2022 อย่างไรก็ ดี เราไม่ลัลโaกาสท์ Fed อาจมีการส่งสัญญาณเวกว่ากําหนดถึงแค กลางเดือนมิ.ย.นี้เลย หากตัวเลขการจ้างงานในคืนวันศุกร์นีออกมา อย่างแข็งแกร่งอย่างมาก
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities