หลังจากกระแสถอนคันเร่งการเข้าซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สะพัดไปทั่วตลาด นักลงทุนสายพันธบัตรรัฐบาลจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเก็งว่าตัวเลขที่เฟดจะถอนออกมาจากการซื้อพันธบัตรนั้นจะเป็นเท่าไหร่ เพราะการทำเช่นนั้นอาจจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น
รายงานการประชุมในช่วงปลายเดือนเมษายนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ได้เปิดเผยข้อความที่แสดงความเป็นได้ว่าอาจจะมีการยืดระยะเวลาข้อตกลงซื้อคืนพันธบัตรชั่วคราวกับธนาคารกลางต่างชาติและหน่วยงานด้านการเงินระหว่างประเทศ (FIMA repo facility) ซึ่งจะหมดอายุลงในเดือนกันยายน ในตอนแรกข้อตกลงนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงสิ้นเดือนมีนาคมปี 2020 หน้าที่ของข้อตกลงนี้คือการลดความจำเป็นที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ต้องขายพันธบัตรโดยตรงให้กับตลาดที่ขาดสภาพคล่อง ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อตลาดพันธบัตร และการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทน
รายงานการประชุมของ FOMC ระบุว่า
“ธนาคารกลางที่เข้าร่วม FIMA Repo ส่วนใหญ่ระบุว่าการมีอยู่ของโครงการนี้เป็นเรื่องจำเป็น เพราะโครงการดังกล่าวจะช่วยลดความกดดันในกรณีที่มีธนาคารกลางใดธนาคารกลางหนึ่งต้องการเงินดอลลาร์แบบฉุกเฉิน”
รายงานการประชุมครั้งนั้นจึงได้ข้อสรุปว่าบางทีการให้มี FIMA Repo คงอยู่ไปตลอดอาจเป็นเรื่องที่ดี และธนาคารกลางที่เข้าร่วมโครงการนี้ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการกู้ยืมพันธบัตรรัฐบาล (TBAC) ก็เคยเสนอโครงการให้มีการขยายกรอบการทำ repo ให้กว้างขึ้นเพื่อให้นักลงทุนสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงสภาพคล่องได้ง่ายขึ้นในยามที่ตลาดพันธบัตรต้องเผชิญกับแรงกดดัน อีกไอเดียหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้คือไอเดียของนายดาร์เรล ดัฟฟี่ นักเศรษฐศาสตร์จากสแตนฟอร์ดที่เสนอให้ลดต้นทุนการเข้าถึงเงินช่วยเหลือของธนาคารพาณิชย์ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องในการกู้ยืมกับรายย่อยมากขึ้น
นี่คือหนทางการแก้ไขปัญหาเพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาดพันธบัตรเอาไว้ ทั้งสองวิธีไม่เพียงแต่ลดความกดดันจากวิกฤตโควิด แต่ยังรวมถึงการลดความเสี่ยงจากการขาดดุลในระดับหลายล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาที่มีมาเป็นทศวรรษ และอาจมีส่วนทำให้เฟดไม่ตัดสินใจเพิ่มวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลไปมากกว่านี้
หรือ Taper Tantrum จะเกิดขึ้นไปแล้ว?
คำว่า “Taper Tantrum” ถูกพูดถึงเป็นครั้งแรกในปี 2013 ซึ่งตอนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศว่าจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ล่าสุดกราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวลดลงหลังจากการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคส่วนบุคคล (PCE Index) การเติบโตของตัวเลข PCE ในครั้งนี้หมายความว่าอัตราเงินเฟ้อก็กำลังเร่งตัวตามขึ้นมาด้วย
หลังจากที่การประกาศตัวเลขดังกล่าวออกมา กราฟผลตอบแทนฯ ก็ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 1.58% นักวิเคราะห์บางคนตั้งข้อสังเกตว่าหรือ taper tantrum ได้เกิดขึ้นไปแล้วในเดือนมีนาคมตอนที่กราฟผลตอบแทนฯ เคยพุ่งขึ้นไปยัง 1.75% บางคนนั้นก็เห็นต่าง โดยให้เหตุผลว่าความต้องการพันธบัตรรัฐบาลจากธนาคารพาณิชย์อาจลดลงเพราะการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเป็นปกติจะทำให้ผู้คนกล้าที่จะกู้ยืมมากขึ้น
ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่เริ่มมีคนในออกมาพูดเรื่องความเป็นไปได้ที่อาจจะลดวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรในการประชุมของเฟดครั้งถัดไป ในตอนนี้เฟดยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ ถึงแม้ว่าคนที่จะออกมาเตือนเป็นถึงผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์ก็ตาม
โทมัส จอร์แดน ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์ได้ออกมาเตือนผู้ที่เกี่ยวข้องกับกลไกทางการเงินของสหรัฐฯ ว่า “ประวัติศาสตร์ก็เคยสอนเอาไว้แล้วว่าหากเกิดภาวะเงินเฟ้อจนเกินควบคุมขึ้นจะเป็นเช่นไร” โทมัสได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวของสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อว่า ‘Neue Zürcher Zeitung’ คำเตือนของเขาเอามาจากสถานการณ์ในสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับเขาเพดานของเงินเฟ้อจะคงอยู่ที่ 2% และไม่มีการปล่อยให้สูงเกินกว่านี้ ตราบใดที่ดัชนีราคาผู้บริโภคยังอยู่ต่ำกว่า 2% ตราบนั้นสวิตเซอร์แลนด์ก็จะยังไม่มีปัญหาภาวะเงินเฟ้อ