เดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาถือเป็นเดือนที่เต็มไปด้วยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ กำไรของบริษัทเหล่านี้ยังคงเติบโตต่อไปท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ถูกกดดันด้วยภาวะเงินเฟ้อ หนึ่งในไฮไลท์สำคัญประจำเดือนกรกฎาคมคือการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นไปตามที่หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์คือคงนโยบายการเงินและดอกเบี้ยเอาไว้ดังเดิม
แต่สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจกลับไม่ใช่นโยบายการเงิน แต่เป็นถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวลล์ ที่ได้ออกมาบอกว่าเศรษฐกิจอเมริกามีการฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม และเขายังยืนยันคำเดิมว่าเงินเฟ้อที่กำลังเผชิญอยู่เป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวจากนโยบายทางการเงิน นอกจากนี้ประธานเฟดยังคงย้ำชัดว่าจะไม่มีนโยบายใดๆ เพิ่มเติมหรือลดวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรจนกว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัวกลับมาเป็นไปตามเป้าของเฟด และไม่ได้ให้ความสำคัญกับการระบาดของโควิดมากนัก
ท่าทีของเฟดเช่นนี้ถือว่าเข้าทางนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ยังต้องการให้ตลาดปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับว่าปาร์ตี้จะไม่มีวันเลิกรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตในระยะยาว ดังนั้นเราจึงได้มาแนะนำ 2 กองทุน ETF ที่เน้นหุ้นกลุ่มเติบโตเป็นหลัก
1. Direxion NASDAQ-100 Equal Weighted Index Shares ETF
ระดับราคาปัจจุบัน: $85.01
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $61.09 - $85.25
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.45%
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.35% ต่อปี
กองทุน ETF ที่มีชื่อว่า Direxion NASDAQ-100 Equal Weighted Index Shares (NYSE:QQQE) เป็นกองทุนที่เน้นหุ้นที่อยู่บนดัชนีแนสแด็ก 100 เป็นหลัก กองทุนนี้เริ่มต้นเปิดให้ลงทุนตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม แบ่งสัดส่วนการถือหุ้นออกเป็นสามกลุ่มหลักๆ ได้แก่เทคโนโลยี 41.35% ผู้ให้บริการโทรคมนาคม 12.99% และสินค้าฟุ่มเฟือย 15.06% หุ้นสิบอันดับที่มีมูลค่าสูงสุดในกองทุนคิดเป็น 52% ของสินทรัพย์ทั้งหมดซึ่งมีอยู่เกือบ $405 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบัน QQQE ถือครองหุ้นรวมแล้วทั้งสิ้น 100 ตัว อ้างอิงราคามาจากดัชนี NASDAQ 100 Equal Weighted Index มีค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักอยู่ที่ 1% ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่เราต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Apple (NASDAQ:AAPL) Microsoft (NASDAQ:MSFT) Amazon (NASDAQ:AMZN) คิดเป็นสัดส่วนน้ำหนักเป็น 10% 9.82% และ 8.35% ตามลำดับ
การอ้างอิงราคาตามดัชนี NASDAQ 100 Equal Weighted Index มีข้อดีตรงที่เราสามารถลงทุนในบริษัทแอปเปิล ไมโครซอฟต์ และอะเมซอน ด้วยความเสี่ยงที่ลดลง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็มีค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักอยู่ที่ 1% เทียบกับการลงทุนในหุ้นของทั้งสามบริษัทโดยตรงบนดัชนีแนสแด็ก 100 ที่มีโอกาสผันผวนมากกว่าตามราคาของหุ้นทั้งสามตัว
จากการที่หุ้นเทคโนโลยีสามารถทำผลงานขาขึ้นได้อย่างโดดเด่นมาตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม และการที่ QQQE พึ่งจะทำจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ ทำให้ตลอดทั้งปี ราคากองทุน QQQE ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 13.2% เทียบกับขาขึ้น 16.2% ของกองทุน Invesco QQQ Trust (NASDAQ:QQQ) ที่อ้างอิงราคาจากแนสแด็ก 100 เหมือนกัน
นักลงทุนที่ต้องการถือครองหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง แต่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงโดยตรง สามารถพิจารณาซื้อกองทุน QQQE เอาไว้ได้ ด้วยการถ่วงน้ำหนักเฉลี่ย 1% ทำให้กองทุนตัวนี้ลดความเสี่ยงระยะสั้นที่มักเกิดกับหุ้นสายเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงขาลง
2. iShares Russell Mid-Cap Growth ETF
ระดับราคาปัจจุบัน: $114.25
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $81.44 - $115.53
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.34%
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.23% ต่อปี
กองทุน ETF นาม iShares Russell Mid-Cap Growth (NYSE:IWP) เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ที่ประเมินแล้วว่ามีโอกาสทำกำไรเติบโตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของความสามารถในการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
กองทุนนี้เริ่มต้นเทรดในเดือนกรกฎาคมปี 2001 มีมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ที่ $16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อ้างอิงราคามาจากดัชนี Russell Mid-Cap Growth Index ถือครองหุ้นอยู่ทั้งสิ้น 387 ตัว หากพิจารณาเป็นสัดส่วนของกลุ่มหุ้นที่ถือครองแล้ว จะพบว่าแบ่งออกเป็นกลุ่มเทคโนโลยีสำหรับการให้ข้อมูล 34.05% เฮลท์แคร์ 17.59% สินค้าฟุ่มเฟือย 16.11%
หุ้นสิบอันดับแรกที่กองทุนถือครองคิดเป็นสัดส่วน 11% หลายบริษัทจดทะเบียนที่กองทุนนี้เลือกถือครองมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาดประมาณ $60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทชื่อดังที่ IWP ถือครองได้แก่ DocuSign (NASDAQ:DOCU) Roku (NASDAQ:ROKU) Chipotle Mexican Grill (NYSE:CMG) และ Veeva Systems (NYSE:VEEV)
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นของกองทุน IWP ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 11% และในปีที่แล้วสามารถวิ่งขึ้นมาได้ 35% ทำจุดสูงสุดตลอดกาลไปเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ถามว่าใครเหมาะกับกองทุนนี้? ส่วนตัวเรามองว่านี้คือกองทุนกระจายความเสี่ยง ที่เหมาะกับคนที่ถือครองหุ้นของบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อยู่แล้ว