สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดในแดนลบ จับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของ FED ฝั่งตลาดหุ้นยุโรปยังคงปรับตัวลง ด้านตลาดหุ้นเอเชียภาพรวมปรับลงเช่นกัน จากความ กังวลต่อมาตรการที่เข้มงวดของทางการจีนและประเด็น China Evergrandeเ รามองว่าตลาดมีโอกาสปรับฐานในระยะข้างหน้าเนื่องจากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการเงิน ของ FED และ Valuation ที่เริ่มตึงตัว แนะนำรอจังหวะทยอยเข้าสะสมในหุ้น Quality Growthและ หุ้นที่ปลอดภัยจากทางการจีน อย่างMicrosoft Corporation (NASDAQ:MSFT) และ Semiconductor Manufacturing International Corp (HK:0981) ที่เป็นหุ้น แนะนำในสัปดาห์นี้
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดในแดนลบ แม้ว่าจะรีบาวน์ขึ้นมาช่วงสั้นๆกลางสัปดาห์ หนุนจากรายงานตัวเลข สต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาดเกือบ 2 เท่า ทำให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสถานการณ์ Covid-19ต่อความต้องการพลังงาน ด้านตัวเลขเงินเฟ้อประกาศต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้ตลาดคลายความกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)จะปรับลดวงเงินQEและขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด สัปดาห์นี้จับตาการประชุมกำหนด นโยบายการเงินของ FED • ฝั่งตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3จากความกังวลต่อการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัว ลง อีกทั้งยังไม่มีปัจจัยสนับสนุนใหม่เพิ่มเติม • ด้านตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนร่วงลง หลังมีการประชุมระหว่างหน่วยงานจากรัฐบาลจีนกับบริษัท เทคโนโลยีขนาดใหญ่ รวมถึงเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในธุรกิจคาสิโนที่มาเก๊า อีกทั้งมีประเด็น China Evergrande Group (HK:3333)บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่อาจผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้นักลงทุนมีมุมมองเชิงลบต่อ ตลาดหุ้นจีนในระยะนี้
สำหรับสัปดาห์นี้
ติดตาม FED ส่งสัญญาณ QE Tapering อาจชัดเจนขึ้นสัปดาห์นี้ • สัปดาห์นี้วันที่ 21-22 ก.ย. ติดตามกับการประชุม FED ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีการส่งสัญญาณว่าจะเริ่มทำ QE Tapering เมื่อไหร่ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กว่า 40% จากผลสำรวจระหว่าง FT-IGM Macroeconomists คาดกันว่า QE Tapering น่าจะเป็นช่วงเดือนพ.ย. ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดกันว่าจะเริ่มขึ้นช่วงปี 2022 โดยผล สำรวจที่จัดทำโดย University of Chicago พบว่า 70% มองว่า FED จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 โดยจะปรับเพิ่มเป็น รายไตรมาส และอีก 20% คาดว่าจะปรับเพิ่มภายใน 1H22 จากคาดว่าภาคการจ้างงานจะฟื้นตัวและแข็งแกร่งมากขึ้น ประเด็น China Evergrande มีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้น่ากังวลหรือไม่ ? • ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่มีหนี้สินเยอะที่สุดเนื่องจากขยายธุรกิจโดยการกู้เงินปัจจุบันมีหนี้สินอยู่ประมาณ 3 แสน ล้านเหรียญฯ คิดเป็นประมาณ 2% ของ GDP จีน และมีหนี้ค้างจ่ายราว 8.9 หมื่นล้านเหรียญฯ ปัจจุบันมีการกู้เงินจาก ธนาคารกว่า 128 แห่งและ 121 แห่งที่เป็น non-bank ซึ่งธนาคารที่มีการปล่อยกู้ให้มากสุดคือ China Minsheng Bank • ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านธนาคารกลางจีน PBOC ได้อัดฉีดเงินกว่า 1.4 หมื่นล้านเหรียญฯ เข้าสู่ระบบการเงิน โดยหุ้น Evergrande ดิ่งลงกว่า 30% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาและลงมาแล้วกว่า 90% ตั้งแต่ต้นปี มุมมองของเราต่อประเด็นของ Evergrande คาดไม่ลุกลามหนักเท่าวิกฤต Subprime เนื่องจาก Evergrande เป็นกรณีระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้เพียง 2 ฝ่าย ประกอบการล่าสุด PBOC ได้เข้ามาช่วยเหลือธนาคารเพื่อเพิ่มสภาพคล่องแล้ว อย่างไรก็ดีเรามองว่าหาก Evergrande ผิดนัดชำระหนี้จริงจะส่งผลต่อ Sentiment ของตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้โดยรวม รวมถึงตลาดแรงงาน และภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ Update ประเด็นทางการจีนต่อ Ant Group • ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาทางการจีนสั่งบริษัท Ant Group ให้แยกธุรกิจ 2 ธุรกิจออกกันเป็นอิสระ ได้แก่ Huabeiธุรกิจ Credit Card Online และ Jiebei ธุรกิจปล่อยสินเชื่อออนไลน์ โดยทั้ง 2 ธุรกิจจะต้อง Application ของตัวเองแยกจาก กัน และจะมีหน่วยงานของรัฐบาลที่จะเข้ามาเป็นบริษัทร่วมทุนเพื่อประเมิน Credit ของผู้ขอใช้บัตรเครดิตและผู้กู้เงิน • ในวันเดียวกันนั้น Tencent (700 HK) และ Alibaba(BABA US, 9988 HK) ได้กล่าวเตรียมจับมือเปิดแพลตฟอร์มซึ่ง กันและกัน ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ Tencent ก็ได้ Upgrade Application WeChat ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์ม E-Commerceของ Alibaba รวมถึงสามารถเข้า Application Douyinของ ByteDance (Tiktok ของจีน) ผ่านทาง WeChat ได้เลย ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่คลายประเด็นของทางการที่อยากให้แต่ละแพลตฟอร์มเลิกปิดกั้นการเข้าถึงของ ลูกค้า อย่างไรก็ดียังต้องจับตาประเด็นของทางการต่อไป เรามองยังไม่ต้องรีบทยอยเข้าสะสมในช่วงนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities