หุ้น IPO ที่จะเข้าตลาดวันพฤหัสนี้ มี ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (BK:TRUBB)ถือหุ้นใหญ่ 66% หลังเข้าตลาด
สินค้าให้นึกภาพตามง่ายๆ อย่างเช่น ยางยืดขอบถุงเท้า ขอบกางเกงใน สายคล้องหูหน้ากากผ้า ยางยืดขอบชุด PPE ไปจนถึงสายรัดรถจักรยานยนต์ และโซฟาที่นั่งต่างๆ
TRUBB ไม่ใช่แค่ถือหุ้นใหญ่ แต่ยังเป็นเจ้าหลักขายน้ำยางข้นให้ WFX มาผลิตด้วย โดยราคาขายก็คิดจากราคาน้ำยางวันที่ซื้อ แต่ข้อได้เปรียบคือ คุณภาพน้ำยาง และก็ปริมาณที่เพียงพอกับการผลิต
98% คือ การส่งออก โดย 75% ขายไปที่จีน ซึ่งเอาไปเข้าโรงงานผลิตเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า ถุงเท้า 13% เป็นเอเชียที่นอกเหนือจากจีน แปลว่าพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก ถามว่ามีปัญหามั้ย มีแน่นอน อย่างตอนที่เกิด Trade War แรงๆ ก็กระทบเยอะ โรงงานจีนก็ย้ายออกมาเวียดนามและบังกลาเทศก็มี บริษัทก็พยายามกระจายความเสี่ยงไปประเทศอื่นเพิ่มเติม
WFX ขายสินค้า 71% ผ่าน Distributor คือ ตัวแทนจำหน่าย แล้วเอาไปขายต่อตามโรงงานต่างๆ ที่เหลือ 29% ขายตรงเข้า End User คือ โรงงานเสื้อผ้า ถุงเท้า โดยตรง ข้อดีคือ เมื่อ 2 ปีก่อน สัดส่วน นี้มีแค่ 15% ตอนนี้เพิ่มมาเท่าตัว การตัดคนกลางออกไปทำให้มาร์จิ้นดีขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ งบการเงินย้อนหลัง
ปี 2561 ยอดขาย 1,837 ล้านบาท กำไรสุทธิ 19.2 ล้านบาท
GPM 4.8% NPM 1.03%
ปี 2562 ยอดขาย 2,037 ล้านบาท กำไรสุทธิ 7.7 ล้านบาท
GPM 4.7% NPM 0.38%
ปี 2563 ยอดขาย 2,397 ล้านบาท กำไรสุทธิ 57 ล้านบาท
GPM 7.4% NPM 2.4%
9M2564 ยอดขาย 2,583 ล้านบาท กำไรสุทธิ 188 ล้านบาท
GPM 15.9% NPM 7.2%
ยอดขายเพิ่มต่อเนื่องทุกปี ถือว่าดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่กำไรที่ดูลุ่มๆ ดอนๆ มาร์จิ้นก็บางๆ พอมาปีนี้ กำไรกระโดดไปเกือบ 200 ล้านบาท และมาร์จิ้นพุ่งพรวดตั้งแต่กำไรขั้นต้น ดูแล้วต้องตั้งคำถามว่า ดีเกินกว่าที่ควรจะเป็นหรือเปล่า สาเหตุหลัก คือ
1. ปีนี้กำลังการผลิตเพิ่มประมาณ 12% และ Utilization Rate 95% แปลว่าได้ Economy of Scale แต่จะเพิ่มมากกว่านี้ก็ได้ไม่เยอะแล้วนะ บริษัทก็เลยมีแผนจะเพิ่ม Capacity ขึ้นในปีหน้า
2️. ราคาน้ำยางขึ้น ราคาขายปรับตามเป็น cost plus อันนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการสต๊อค อาจจะช่วยเรื่องมาร์จิ้นได้บ้าง
3️. Customer Mix เปลี่ยนไปขายตรงเข้าโรงงานมากขึ้น มาร์จิ้นดีขึ้น
4️. Covid ทำให้บางโรงงานต้องปิดไป ของขาด แต่ WFX มีของเลยขายได้แพงขึ้น มาร์จิ้นเพิ่ม
สามข้อแรก เป็นปัจจัยบวกที่บริษัททำได้ดีและน่าจะควบคุมได้ดี
แต่ข้อที่สี่ อาจจะเป็นปัญหาถ้า covid คลี่คลาย หรือโรงงานคู่แข่งกลับมาเปิดได้ปกติ เช่น ปีหน้า supply ก็จะกลับเข้ามาเพิ่ม มาร์จิ้นก็อาจจะลดลงได้ ผู้บริหารให้กรอบ NPM ปกติ คือ 5-10%
ราคาหุ้น 7.20 บาท คิดเป็น Trailing P/E 18 เท่า คิดจากหุ้นทั้งหมดหลังเข้าตลาด
ได้เงินประมาณ 1,000 ล้านบาท 400 ล้านบาท คืนหนี้ 350 ล้านบาท ขยายโรงงาน
ถ้าใครสนใจลองประเมินกันดูครับมีทั้งมุมบวกในระยะสั้นที่กำไรน่าจะโตดี และเร่งเพิ่มกำลังการผลิต ถ้า supply คู่แข่งยังไม่กลับมา ก็เป็นโอกาสของบริษัท แต่ถ้าสถานการณ์กลับมาสมดุลเมื่อไหร่ก็ต้องพิจารณากันดีๆ รวมทั้งต้องติดตามเรื่อง Trade War ด้วย ถ้ากลับมาอีกรอบก็จะกระทบเช่นกัน
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น