คงดอกเบี้ย BLOOMBERG เผยแพร่CONSENSUS สำหรับการประชุม กนง. วันที่ 10 เม.ย. 67 โดยคาดหมายว่า จะยังเห็นการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ตามเดิม ซึ่งถือเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับที่เราเห็น ทั้งนี้ INDICATOR ที่เป็นตัวแปร ประการหนึ่งคือ ค่าเงินบาท ซึ่งปัจจุบันอ่อนค่าอยู่ที่ 36.59 บาท/ USD ทั้งนี้หาก ผลออกมาเป็นไปตาม CONSENSUS ก็เป็นไปได้ที่จะเห็นแรงกดดันกลับมาที่ SET INDEX เนื่องจากที่ผ่านมามีกระแสเรียกร้องให้ปรับลดดอกเบี้ยในการ ประชุมรอบ 10 เม.ย. ค่อนข้างแรง อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าน่าจะเห็นการปรับลด ดอกเบี้ยของ กนง. ในการประชุมรอบ 12 มิ.ย.67 ซึ่งครั้งนี้เป็นการประชุมวัน เดียวกับ FED และตลาดก็เชื่อว่า FED จะลดดอกเบี้ยในวันดังกล่าว ส่วนประเด็น อื่นที่ต้องติดตามได้แก่ ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่ดูร้อนแรง ขึ้น และ ผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวในไต้หวัน ต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
ในระยะสั้นยังไม่เห็นปัจจัยที่จะผลักดันให้SET INDEX ปรับขึ้นไป วันนี้คาดกรอบ 1373 –1385 จุด แต่ แต่ในระยะกลางยังมองว่ามีโอกาสที่จะเห็นการฟื้นตัว แนะนำ ทอยสะสมหุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, BJC และ PTT (BK:PTT)
หลากปัจจัยภายนอก ทำให้ SET ผันผวน แต่ได้แรงหนุนจากกลุ่ม โรงกลั่น
วานนี้ ราคาน้ำมันดิบ BRENT, WTI ปรับตัวขึ้น 0.48% และ0.25% ตามลำดับ หลัง ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ในฝั่งของตะวันออกกลางยังคงตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ (รายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์ MARKET TALK ประจำวันที่ 3 เม.ย.67) ประเด็น ดังกล่าวจึงทำให้ SUPPLY น้ำมันดิบมีโอกาสชะลอตัวลงในอนาคต บวกกับแรง กดดันด้าน SUPPLY จากฝั่งอื่น อาทิ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของ รัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ ที่ผ่านมา มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 8.2 แสนบาร์เรล และ ผลการประชุม OPEC+ วานนี้ที่มีมติคงปรับลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นไปใน ลักษณะของการสมัครใจของประเทศสมาชิก ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบทยอย ปรับตัวขึ้นต่อได้ในช่วงสั้น ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ หุ้นกลุ่มโรงกลั่น-น้ำมัน อย่าง PTT PTTEP TOP SPRC OR BCP เป็นต้น
ขณะที่ประเด็นอื่นที่น่าจับตามีอยู่ 2 ประเด็น คือ 1.แผ่นดินไหวที่ไต้หวัน ขนาด 7.4 รุนแรงสุดในรอบ 25 ปีส่งผลให้บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (TSMC) ได้สั่งอพยพพนักงานในหลายพื้นที่ออกจากโรงงาน หวั่นทำให้ SUPPLY การผลิตชิฟหายไปช่วงสั้น และกระทบต่อหุ้นกลุ่มรถยนต์-ชิ้นส่วนของไทย อาทิ SAT KCE HANA DELTA เป็นต้น
2.การหารือกันของประธานาธิบดีจีน-สหรัฐฯวานนี้ ซึ่งทางไบเดนได้แสดงความกังวล เกี่ยวกับการที่จีนให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกลาโหมของรัสเซีย และได้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของหลักนิติธรรมและเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้อีกทั้งยังมี ความพยายามในการบังคับขายติ๊กต๊อก (TIKTOK) ให้กับสหรัฐ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของข้อมูลของชาวอเมริกัน ได้ขณะที่ทางสี จิ้นผิงแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยลบหลายประการในระหว่างการ สนทนา แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนมีเสถียรภาพแล้วก็ตาม จึงทำให้เป็นอีก หนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามว่าจะมีกระแสไปทางด้านใด และจะสร้าง SENTIMENT เชิง ลบ/บวกต่อตลาดหุ้นมากเพียงใด
สรุป ปัจจัยภายนอกมีทั้งปัจจัยบวกและลบต่อตลาดหุ้น คาดทำให้ SET INDEX แกว่ง ทรงตัวในกรอบแคบต่อไป โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ระดับ 1373 -1385 จุด
ดอกเบี้ยโลกมีวี่แววเป็นขาลงช่วงปลาย 2Q67
วานนี้ประธาน FED ส่งสัญญาณไม่รีบร้อนในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วๆ นี้ จนกว่าจะมั่นใจว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะเห็นเงินเฟ้อสหรัฐฯ กำลังปรับตัวลงสู่ เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน ซึ่งการที่ FED ไม่กำหนดกรอบเวลาการปรับลดดอกเบี้ยที่ ชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังดูแข็งแกร่ง ขณะที่ CONSENSUS คาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน มี.ค. 67 จะอยู่ที่ 3.5%YOY ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก เดือนก่อนที่ 3.2%YOY อย่างไรก็ตาม FED WATCH TOOL ให้น้ำหนักราว 62% ที่ จะเห็น FED เริ่มปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในวันที่ 12 มิ.ย. 67
ขณะที่ในฝั่งยุโรปมีสัญญาณเงินเฟ้อในเดือน มี.ค. 67 ที่ชะลอตัวชัดเจนเหลือ +2.4%YOY ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด 2.5%YOY และเดือนก่อนที่ 2.6%YOY อีกทั้งยัง เป็นระดับที่เข้าใกล้กรอบเป้าหมาย 2% มากขึ้นเรื่อย ถือเป็นปัจจัยบวกหนุนให้ ECB อาจเริ่มปรับลดดอกเบิ้ยในวันที่ 6 มิ.ย. นี
ขณะที่บ้านเรา BOND YIELD 10Y ของไทย ดีดตัวขึ้นสู่ 2.57% พลิกกลับมาสูงกว่า POLICY RATE ที่ 2.5% อาจทำให้โอกาสที่จะเห็น กนง. ปรับลดดอกเบี้ยในการ ประชุมรอบวันที่ 10 เม.ย. 67 มีน้ำหนักน้อยลงเรื่อยๆ
ทั้งนี้หากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของไทยเลื่อนออกไปเป็น มิ.ย. 67 ตาม ทิศทางดอกเบี้ยโลก อาจทำให้แรงผลักเศรษฐกิจในเดือน เม.ย. เหลือเพียงการ ขับเคลื่อนผ่านนโยบายการคลังเป็นหลัก ซึ่งมีโอกาสกดดันให้ SET INDEX ขยับตัวขึ้น ได้ไม่หวือหวา
ตลาดหุ้นไทยย่อ แต่เห็น FUND FLOW ทยอยแอบเข้า
วานนี้ตลาดหุ้นไทย -3.77 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 4.18 หมื่นล้าน บาท โดยส่วนใหญ่หุ้นไทยปรับตัวลงเกือบทุก SECTOR โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯ -1.4% ได้รับ SENTIMENT ลบ แผ่นดินไหวในประเทศไต้หวัน แต่มีหุ้นกลุ่มพลังงาน +0.4% และปิโตรฯ +1.3% ทั้ง 2 กลุ่มมีสัดส่วนกว่า 1 ใน 4 ของตลาดฯ คอยพยุงอยู่ ส่วน FUND FLOW แรงขายกดดันตลาดฯ หลักๆ มาจากกองทุนในประเทศ ขายสุทธิ สูงถึง 2.8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิภายในวันเดียวที่สูงที่สุดในปีน
อย่างไรก็ตาม ในมุม FUND FLOW จากนักลงทุนต่างชาติ เห็นสัญญาณดีขึ้น คือ วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยแห่งเดียวในภูมิภาค 43 ล้านเหรียญ แต่ตลาดหุ้นอื่นถูก ขายสุทธิ อาทิ ตลาดหุ้นฟิลิปินส์ -12 ล้านเหรียญ, เกาหลีใต้ -29 ล้านเหรียญ, อินโดนีเซีย -111 ล้านเหรียญ และไต้หวันถูกขายสุทธิมากสุด -675 ล้านเหรียญ ถูก กดดันจากเหตุแผ่นดินไหว นอกจากนี้ต่างชาติยังซื้อสุทธิสัญญา SET50 FUTURES มา 4 วันทำการ มูลค่ารวมสูงถึง 39,463 สัญญา
สรุป ยังคงมุมมองว่า SET INDEX ในเดือน เม.ย. มีโอกาสค่อยๆ ปรับตัวขึ้น จาก ปัจจัยลบที่ลดลง และหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังค่อยๆเข้ามาใน ระบบ หลังเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ได้ อีกทั้งยังแอบเห็น MOMENTUM ของ FUND FLOW ที่เริ่มสลับมาซื้อสุทธิเพิ่มขึ้น
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities