ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเมื่อวันจันทร์นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหนุนจากการลดกำลังการผลิตของโอเปก รวมถึงการคว่ำบาตรอิหร่านและเวเนซูเอลาของสหรัฐฯ
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นสู่ $56 ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในปีนี้ โดยปรับตัวขึ้นไปแตะ $56.13 ก่อนที่จะกลับลงมาสู่ $56.02 ต่อบาร์เรลเมื่อเวลา 01.12 น. ตามเวลามาตรฐานสากล ซึ่งยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 0.8 % จากราคาปิดล่าสุด
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ ปรับตัวขึ้นสูงถึง $66.78 ต่อบาร์เรลก่อนที่จะอ่อนตัวลงสู่ $66.65 ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.6 % จากราคาปิดล่าสุด
ทั้งสองราคาดังกล่าว ถือเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 2561
โอเปกรวมถึงผู้ผลิตบางส่วนที่ไม่ได้อยู่ในเครือ เช่น รัสเซีย ได้ทำข้อตกลงเมื่อปลายปีที่แล้วว่าจะลดกำลังการผลิตน้ำมันเหลือ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อลดอุปทานส่วนเกินไม่ให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ปัจจัยเกื้อหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันยังเนื่องมาจากการที่สหรัฐฯ คว่ำบาตรอิหร่านและเวเนซูเอลา ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันในกลุ่มสมาชิกโอเปกอีกด้วย
นักลงทุนกล่าวว่า ทั้งตลาดการเงินรวมถึงสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า มีแรงหนุนจากความหวังที่จะให้สหรัฐฯ และจีนคลี่คลายข้อขัดแย้งทางการค้า อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ธนาคาร ANZ ได้กล่าวไว้เมื่อวันจันทร์ว่า “สัญญาณบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีส่วนช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นการซื้อขายในตลาดต่าง ๆ “
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีส่วนช่วยชดเชยอุปทานที่ลดลง โดยกำลังการผลิตของสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2018 เท่ากับ 11.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ยังมีสัญญาณอื่น ๆ ที่บ่งชี้ว่ากำลังการผลิตจากสหรัฐฯ จะเพิ่มมากขึ้นอีก
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บริษัทพลังงานของสหรัฐฯ ได้เพิ่มจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันอีก 3 แท่นสำหรับฐานการผลิตใหม่ รวมทั้งหมดเป็น 857 แท่น โดยบริษัทผู้ให้บริการด้านพลังงาน เบเกอร์ ฮิวจ์ ได้กล่าวไว้ในรายงานประจำสัปดาห์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
หมายความว่า บัดนี้แท่นขุดเจาะของสหรัฐฯ มีจำนวนมากขึ้นกว่าปีที่แล้วที่มีแท่นพร้อมใช้งานไม่ถึง 800 แท่น